เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมรับตัวอ่อน ด้วยยาฮอร์โมน
รายละเอียด
รู้จักการผ่าตัดนี้
เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนย้ายตัวอ่อน คืออะไร?
การย้ายตัวอ่อนรอบแช่แข็ง (Embryo Transfer) คือ การใช้ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ในห้องปฏิบัติการมาผ่านกระบวนการละลาย (Thawing) และนำใส่เข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
การเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนย้ายตัวอ่อน (Endometrial Preparation) คือ กระบวนการหลังจากแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะพร้อมต่อการฝังตัวในร่างกายฝ่ายหญิง ผู้รับบริการจะต้องเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้หนาพอและมีความพร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
ผู้รับบริการจะต้องร่วมมือกับแพทย์ในการดูแลสุขภาพและร่างกายให้แข็งแรง รวมถึงใช้ยาหรือฮอร์โมนที่จำเป็นเพื่อปรับโครงสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมอย่างเต็มที่
เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกแบบธรรมชาติกับแบบใช้ยา โอกาสตั้งครรภ์ต่างกันหรือไม่?
แผนการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกทั้งแบบธรรมชาติและแบบใช้ยาให้อัตราการตั้งครรภ์สำเร็จไม่แตกต่างกัน การคัดเลือกวิธีเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสุขภาพ รวมถึงความสะดวกในการเตรียมตัวก่อนใส่ตัวอ่อนของผู้เข้ารับบริการ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำอีกครั้ง
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
เตรียมเยื่อบุมดลูกก่อนย้ายตัวอ่อน ต้องทำอะไรบ้าง?
หลังจากที่คัดเลือกตัวอ่อนที่เหมาะต่อการใส่โพรงมดลูกแล้ว สิ่งที่ผู้รับบริการต้องทำ มีดังต่อไปนี้
1. ปรึกษาแพทย์
ผู้รับบริการควรทำนัดมาพบแพทย์ในวันที่ 2-3 ของการมีประจำเดือน แพทย์จะตรวจสุขภาพ รวมถึงตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งควรหนากว่า 7-12 มิลลิเมตร และมีลักษณะ 3 ชั้น แพทย์จะเช็กความผิดปกติของโพรงมดลูกซึ่งอาจพบในภายหลัง เช่น ก้อนเนื้อ ผังผืดในเยื่อบุโพรงมดลูก
2. เลือกแผนการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก
การเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกจะอิงจากความพร้อมในการตกไข่ของผู้เข้ารับบริการหญิงแต่ละท่าน ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกใช้ยาฮอร์โมนเพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก โดยจะแบ่งออกได้ 2 แผน ได้แก่
2.2. แบบใช้รอบเดือนตามธรรมชาติ (Natural Frozen-thawed Embryo Transfer)
เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีรอบการตกไข่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมาปกติทุกเดือน ดังนั้นแผนนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฮอร์โมนเป็นตัวช่วย แต่จะอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่มีอยู่แล้วในรังไข่เป็นตัวกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวมากพอ
แพทย์จะคาดคะเนวันไข่ตกผ่านการเจาะเลือด และนัดหมายผู้เข้ารับบริการให้มาตรวจวัดฮอร์โมนและอัลตราซาวด์รังไข่อยู่เป็นประจำ สำหรับการคาดคะเนวันไข่ตก แพทย์อาจแนะนำการใช้การตรวจปัสสาวะเพื่อคาดคาดคะแนวันไข่ตกเอง หรือใช้วิธีฉีดยาให้ไข่ตกตามช่วงเวลาที่กำหนด
แพทย์ก็จะจ่ายยากินและยาสอดเพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกอีกครั้งให้เยื่อบุโพรงมดลูกพร้อมต่อการฝังตัวอ่อน จากนั้นเมื่อไข่ตกไปได้ประมาณ 5 วัน ก็จะสามารถย้ายตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวในโพรงมดลูกได้
ข้อดีของการใช้แผนแบบรอบเดือนตามธรรมชาติ
- เป็นแผนที่ใช้ฮอร์โมนธรรมชาติของร่างกายเท่านั้น ไม่มีการใช้ยาฮอร์โมน หรือใช้ในปริมาณน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องยา หรือไม่ต้องการกินยาหรือสอดยาฮอร์โมนทุกวัน
- ประหยัดค่ายามากกว่า
ข้อเสียของการใช้แผนแบบรอบเดือนตามธรรมชาติ
- ต้องเป็นผู้ที่มีประจำเดือนมาตรงเวลาทุกครั้งเท่านั้น หากรอบเดือนในช่วงที่ต้องการใส่ตัวอ่อนคลาดเคลื่อนหรือไข่ในรอบนั้นโตไม่ดีพอ ผนังมดลูกไม่พร้อม ก็ต้องเลื่อนเวลาใส่ตัวอ่อนออกไป
- ต้องเสียเวลามาตรวจเลือดและตรวจอัลตราซาวด์บ่อยๆ ซึ่งอาจไม่สะดวกในผู้เข้ารับบริการบางท่าน
2.2. แบบใช้ยาฮอร์โมน (Artificial or Medicated Embryo Transfer)
เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีรอบตกไข่ไม่สม่ำเสมอ หรือเคยมีปัญหาโพรงมดลูกหนาตัวไม่มากพอ ในกรณีนี้แพทย์จะจ่ายยาฮอร์โมนเอสโตรเจนให้ เพื่อกระตุ้นให้ไข่โตขึ้น และไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นไปด้วย โดยต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องประมาณ 14 วัน ระหว่างนี้ก็จะมีการนัดหมายเข้ามาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นระยะ แพทย์จะคาดคะเนวันไข่ตกผ่านการเจาะเลือด และนัดหมายผู้เข้ารับบริการให้มาตรวจวัดฮอร์โมนและอัลตราซาวด์รังไข่อยู่เป็นประจำ สำหรับการคาดคะเนวันไข่ตก แพทย์อาจแนะนำการใช้การตรวจปัสสาวะเพื่อคาดคาดคะแนวันไข่ตกเอง หรือใช้วิธีฉีดยาให้ไข่ตกตามช่วงเวลาที่กำหนด
เมื่อตรวจพบว่าเยื่อบุโพรงมดลูกหนาพอที่จะย้ายตัวอ่อน แพทย์จะฉีดยาให้ไข่ตกเพื่อคาดคะแนวันย้ายตัวอ่อน และให้ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งอาจมีทั้งแบบกินกับแบบยาสอด เพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกอีกครั้ง ก่อนถึงวันย้ายตัวอ่อน 5 วัน
ข้อดีของการใช้แผนแบบใช้ยาฮอร์โมน
- เป็นวิธีเตรียมผนังเยื่อบุโพรงมดลูกที่ยืดหยุ่นกว่า กำหนดเวลาใส่ตัวอ่อนได้สะดวกกว่า และสามารถควบคุมความหนาของเยื่อบุได้ดี เนื่องจากองค์ประกอบที่ทำให้พร้อมต่อการใส่ตัวอ่อนทั้งหมดมาจากการใช้ยา
- เหมาะกับผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ รอบไข่ตกไม่สม่ำเสมอ หรือผนังเยื่อบุโพรงมดลูกบาง สามารถปรับแก้ได้ด้วยการใช้ยา
ข้อเสียของการใช้แผนแบบใช้ยาฮอร์โมน
- ต้องการมีใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
- อาจมีค่าใช้จ่ายจากการใช้ยาเพิ่มเติมมากขึ้น
- อาจได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาจนเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คัดตึงเต้านม คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย น้ำหนักตัวเพิ่ม
3. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
นอกจากการตรวจเช็กฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผู้เข้ารับบริการก็ยังต้องดูแลสุขภาพให้เอื้ออำนวยต่อการเพิ่มความหนาตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกด้วย เช่น
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นให้ร่างกายได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญอย่างหลากหลายและเพียงพอ เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูง กรดโฟลิก (Folic Acid) แมกนีเซียม (Magnesium) สังกะสี (Zinc) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินอี (Vitamin E)
- ลดอาหารที่มีน้ำตาลและมีไขมันสูง
- รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่อย่าหักโหมเกินไป
- ลดความเครียด รวมถึงความวิตกกังวล พยายามอย่ากดดันตัวอย่างจนเกินไป ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบต่อฮอร์โมนที่สร้างเยื่อบุโพรงมดลูกได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มคาเฟอีน งดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ สารเคมี หรือมลภาวะต่างๆ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก
- เยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่หนาพอต่อการฝังตัวอ่อน
- รอบตกไข่ไม่เป็นไปตามที่กำหนด ซึ่งจำเป็นต้องเลื่อนการใส่ตัวอ่อนไปยังรอบถัดไป
- ใส่ตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกเรียบร้อยแล้ว แต่ตัวอ่อนหลุด