🚀 จองแพ็กเกจได้ด้วยตัวเอง ฟรี! ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน
- กด จองเลย
- กรอกข้อมูลให้ครบ
- คลิกส่งข้อมูลให้ HDmall
เสร็จแล้วอย่าลืมเช็กคิวและทำนัดผ่านแอดมิน HDmall เท่านั้นนะ (นัดล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชม.)
แพ็กเกจนี้จำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจประเมินก่อนรับบริการ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้บนเว็บไซต์
การฝังแท่งคุมกำเนิด จะใช้หลอดยายาวประมาณ 3 ซม. ซึ่งบรรจุฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสติน มาฝังไว้บริเวณท้องแขน ช่วยคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของยา
รายละเอียด
รายละเอียด
ราคานี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
- ค่าฝังแท่งคุมกำเนิดชนิด 5 ปี Jadelle สำหรับผู้หญิง
สิ่งที่ต้องจ่ายเพิ่ม
- ค่าลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่ 20 บาท
- ค่าบริการโรงพยาบาล 250 บาท
- ค่าแพทย์ 200-500 บาท หรือมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับแพทย์แต่ละท่าน
หมายเหตุ
- อาจมีค่าใช้จ่ายบางรายการเพิ่มเติม
- ราคานี้สงวนสิทธิ์เฉพาะคนไทยเท่านั้น
เกี่ยวกับแพ็กเกจ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับแพ็กเกจ ฝังยาคุม
- ควรนัดหมายล่วงหน้าก่อนรับบริการ
- กรณีซื้อผ่าน HDmall.co.th ในวันที่เข้ารับบริการลูกค้าจะได้ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เท่านั้นไม่สามารถออกใบเสร็จได้
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
- ควรทำภายใน 5 วันแรก หลังมีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์
- หากมีโรคประจำตัว หรือรับประทานยาชนิดใดเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
การดูแลหลังรับบริการ
- หลังฝังแท่งคุมกำเนิดครบ 24 ชั่วโมง สามารถนำผ้าพันแผลออกเองได้ โดยใช้พลาสเตอร์ปิดแผลไว้ 3-5 วัน
- ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำเป็นเวลา 7 วัน
- ควรงดมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันแรก หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยคุมกำเนิดไปก่อน
- ห้ามยกของหรือออกกำลังกายหนัก และระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระแทกบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิด
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการคล้ายตั้งครรภ์ แผลมีเลือด มีน้ำเหลือง มีหนอง บวมแดง ฯลฯ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- หลังฝังแท่งคุมกำเนิด ควรระมัดระวังในการใช้ยา เพราะยาบางชนิดมีผลต่อแท่งคุมกำเนิด เช่น ยารักษาโรคเอดส์ (HIV) ยารักษาโรคลมชัก (Epilepsy) รวมทั้งยาปฏิชีวนะบางชนิด ดังนั้นก่อนใช้ยาชนิดใด ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
ก่อนตัดสินใจ
- การฝังแท่งคุมกำเนิด จะต้องงดใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อแท่งคุมกำเนิด ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาไรฟาบิวติน (Rifabutin) หรือยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ยารักษาโรคเอดส์ (HIV) ยารักษาโรคลมชัก (Epilepsy) แต่หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ช่วงระยะสั้น ควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นเพิ่มเติม ในระหว่างหรือหลังจาก 28 วันที่ใช้ยาข้างต้น แต่หากต้องใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาว ควรเลือกวิธีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ แทนการฝังแท่งคุมกำเนิด
- ขณะฝังแท่งคุมกำเนิด ควรรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ เพราะการใช้ยาเป็นเวลานานอาจทำให้ความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกลดลงเล็กน้อย แต่จะกลับเป็นปกติได้เมื่อหยุดใช้ยา
ข้อห้ามสำหรับฝังแท่งคุมกำเนิด
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่ากำลังจะตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีประวัติหรือกำลังป่วยเป็นมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ หรือมะเร็งเต้านม
- ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของตับ เช่น เป็นโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ มีเนื้องอกในตับ
- ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือนหรือหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด มีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก
- ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดง (Arterial Disease) มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง
- ผู้ที่มีเนื้องอกชนิดไวต่อฮออร์โมนโปรเจสเตอโรน หรือฮอร์โมนที่มีฤทธิ์คล้ายโปรเจสเตอโรน
- ผู้ที่มีการอักเสบของหลอดเลือดดำร่วมกับมีลิ่มเลือด (Thrombophlebitis) หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด (Thromboembolic Disorders)
ผลข้างเคียงของการฝังแท่งคุมกำเนิด
ผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก และมักหายไปภายใน 2-3 เดือนแรก
- อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มามาก มาน้อย หรือไม่มาเลยได้
- อาจเกิดการอักเสบที่แผลฝังยาคุมกำเนิด หรือมีรอยแผลเป็นได้
- อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีอาการบวมน้ำ ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม ปวดท้อง คลื่นไส้ ผมอาจบางลง
- อาจทำให้เป็นสิว ขนดก ความต้องการทางเพศลดลง
- อาจมีอารมณ์แปรปรวน หรือ มีภาวะซึมเศร้า
- หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น อาจมีโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ
- หากฝังแท่งยาตื้นเกินไป อาจทำให้รู้สึกเจ็บ รบกวนการรับความรู้สึกที่ผิวหนังบริเวณที่ฝังแท่งยาและเกิดผิวหนังอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ
- หากฝังแท่งยาใต้ผิวหนังลึกไป จะเสี่ยงต่อการเคลื่อนที่ของแท่งยา ทำให้ตัวยาปล่อยสู่กระแสเลือดมากขึ้น และยังเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากแท่งยาได้อีกด้วย
- หากฝังแท่งยาไม่ถูกต้อง อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท
- หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ความหนาแน่นแร่ธาตุในกระดูก (Bone Mineral Density) ลดลงเล็กน้อย แต่ไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหัก
- หากฝังไม่ถูกวิธี อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาทได้
ข้อมูลทั่วไป
การฝังแท่งคุมกำเนิด เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง โดยจะใช้การฝังหลอดยาไว้ใต้ผิวหนัง ซึ่งภายในบรรจุฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน (Progestin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นเวลา 3 หรือ 5 ปี ตามชนิดของยา
ยาฝังคุมกำเนิดที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
- Implanon® ชนิดฝัง 1 แท่ง จะเป็นฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม คุมกำเนิดได้ 3 ปี
- Jadelle® ชนิดฝัง 2 แท่ง จะเป็นฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มิลลิกรัม คุมกำเนิดได้ 5 ปี
แท่งคุมกำเนิดทำงานอย่างไร?
การฝังแท่งคุมกำเนิด จะใช้หลอดยาหรือแท่งพลาสติก ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ซึ่งบรรจุฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสตินไว้ นำมาฝังที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านใน โดยมีขนาดแผลเพียง 0.3 เซนติเมตรเท่านั้น และใช้เวลาในการฝังยาเพียงประมาณ 2 นาทีโดยการทำงานของแท่งคุมกำเนิดมีดังนี้
- ฮอร์โมนโปรเจสตินจะค่อยๆ ซึมออกมาจากแท่งยา มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ ทำให้ไข่ไม่ตก
- ฮอร์โมนโปรเจสติน จะทำให้เมือกที่ปากมดลูกเหนียวข้น มีปริมาณน้อย ทำให้อสุจิว่ายผ่านเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ยาก
- ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกบาง ไม่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งทำให้ไข่ที่ถูกผสมแล้วไม่สามารถเกาะที่ผนังมดลูกได้ดี จึงช่วยลดโอกาสเกิดการผสมกับไข่ได้อีกทางหนึ่ง
ข้อดีของการฝังแท่งคุมกำเนิด
- ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง มีอัตราความล้มเหลวไม่เกิน 0.1%
- ประหยัด และสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3 หรือ 5 ปี ตามชนิดของยา
- หลังจากหยุดใช้ สามารถมีบุตรได้เร็วกว่าการฉีดยาคุม เนื่องจากฮอร์โมนกระจายออกในปริมาณน้อยและไม่สะสมในร่างกาย
- มีส่วนช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และลดภาวะประจำเดือนมามาก
- ลดโอกาสการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ และภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน เพราะยาฝังคุมกำเนิด จะทำให้เมือกที่คอมดลูกข้นขึ้น จึงช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปสู่มดลูกได้
- หลังจากที่แท้งบุตร คลอดบุตร หรือระหว่างที่ให้นมบุตร สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทันทีและไม่เป็นอันตราย
- ผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาประเภทเอสโตรเจน หรือผู้ที่น้ำหนักมาก สามารถใช้ได้ แต่ประสิทธิภาพอาจลดลง
ข้อจำกัดในการฝังแท่งคุมกำเนิด
- ไม่สามารถเริ่มใช้หรือหยุดใช้ด้วยตนเอง และไม่สามารถฝังหรือถอดโดยแพทย์ทั่วไปได้ ต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ผู้มีความชํานาญเท่านั้น
- ในปีแรกอาจมีผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ (Sexually Transmitted Infection) ซึ่งต่างจากการใช้ถุงยางอนามัยที่ช่วยป้องกันได้
- อาจพบปัญหาและภาวะแทรกซ้อนได้ แต่ไม่บ่อย เช่น พบก้อนเลือดคั่งบริเวณที่กรีดผิวหนัง เกิดการติดเชื้อ เจ็บ คัน ระคายผิวและมีรอยช้ำบริเวณที่ฝังยา มีแผลเป็น ผิวหนังฝ่อ เกิดพังผืดรอบแท่งยา เป็นต้น
- อาจมีผลไม่พึงประสงค์ เช่น ประจําเดือนมาผิดปกติ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า รบกวนความรู้สึกทางเพศ เจ็บคัดเต้านม ช่องคลอดอักเสบและแห้ง เกิดฝ้า สิว บวมน้ำ น้ำหนักขึ้น
โรงพยาบาลและคลินิกอื่น ที่ให้บริการ ฉีดยาคุม ทำหมันชาย ทำหมันหญิง ราคา เท่าไรบ้าง? เช็กราคาพร้อมโปรโมชั่นได้ที่นี่
วิธีชำระและใช้งาน
จองแพ็กเกจผ่าน HDmall.co.th แล้วชำระเงินที่โรงพยาบาล
- กดจองแพ็กเกจที่ต้องการและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
- รับคูปองยืนยันการจองทางอีเมล คูปองมีอายุ 30 วัน
- เช็กคิวหรือทำนัดผ่านแอดมิน HDmall เท่านั้น โดยนัดล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- เข้ารับบริการตามวันและเวลานัดที่ระบุในคูปอง เมื่อถึงโรงพยาบาล เพียงแสดงบัตรประชาชน ณ ศูนย์บริการลูกค้า ชั้น 1 โดยไม่ต้องแสดงคูปอง HDmall เข้ารับบริการ ชำระเงินตามยอดที่ฝ่ายการเงินแจ้ง
หมายเหตุ แพ็กเกจนี้จำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจประเมินก่อนรับบริการ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้บนเว็บไซต์
เงื่อนไขการใช้คูปอง
- สำหรับแพ็กเกจแบบคอร์ส ต้องรับบริการครั้งแรกก่อนคูปองหมดอายุ ส่วนครั้งต่อๆ ไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก
- คุณสามารถเลื่อนนัดได้ด้วยตัวเอง ตามเบอร์โทรศัพท์หรือไลน์ที่ระบุไว้ในคูปอง ก่อนวันนัดอย่างน้อย 3 วันทำการ แต่ต้องรับบริการก่อนคูปองหมดอายุ
- สามารถซื้อแพ็กเกจให้คนอื่นได้ เพียงแจ้งชื่อผู้จะรับบริการให้แอดมินทราบ เพื่อจะได้ระบุบนคูปอง
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ สามารถจ่ายที่โรงพยาบาลได้โดยตรง
เงื่อนไขการให้บริการ และราคาของ โรงพยาบาลยันฮี อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแผนการส่งเสริมการขาย ท่านสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการให้บริการ และราคาล่าสุดได้จากแอดมิน HDmall.co.th